เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2564 มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้แถลงข่าวผลวิจัยการตรวจภูมิคุ้มกันของผู้ที่รับวัคซีน Sinovac โดยนักวิจัยคณะแพทยศาสตร์ในการนี้ได้รับเกียรติจาก ศาสตราจารย์ ดร.สุรศักดิ์ วงศ์รัตนชีวิน คณบดีบัณฑิตวิทยาลัยประธานในพิธี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุปราณี พันธุ์ธนวิบูลย์ อาจารย์ประจำภาควิชาจุลชีววิทยา คณะแพทยศาสตร์ หัวหน้าโครงการวิจัย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นพ.อธิบดี มีสิงห์ อาจารย์ประจำภาควิชาอายุรศาสตร์คณะแพทยศาสตร์ ร่วมกันแถลงข่าว ณ ห้องสารสิน อาคารสิริคุณากร มหาวิทยาลัยขอนแก่น สืบเนื่องจากการรับมือสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิค- 19 ในประเทศไทย มีการนำเข้าและใช้วัคซีนชนิดเชื้อตายเป็นส่วนมากเพื่อฉีดให้บุคลากรด้านหน้า ก่อนที่จะมีการใช้วัคซีนชนิดไวรัสเวคเตอร์และชนิด mRNA ในเวลาต่อมา
รองศาสตราจารย์ ดร. สุรศักดิ์ วงศ์รัตนชีวิน คณบดีบัณฑิตวิทยาลัย ในฐานะที่ปรึกษาโครงการ กล่าวว่า มหาวิทยาลัยขอนแก่น ในฐานะสถาบันวิชาการชั้นสูงและเก่าแก่ที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีนโยบายที่จะช่วยสังคมในทุกๆด้าน โดยในสถานการณ์โรคโควิด- 9 ที่มีการระบาดอย่างรุนแรงในประเทศไทยมหาวิทยาลัยได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการศึกษาวิจัยเรื่องวัคซีน covid19 เพราะวัคซีนเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะหยุดยั้งการระบาดได้และทำให้สังคมไทยกลับคืนสู่ภาวะปกติโดยเร็วมหาวิทยาลัยจึงได้ให้การสนับสนุนอย่างเร่งด่วนเพื่อให้แพทย์และนักวิจัยได้มีโอกาสช่วยสังคมและทำงานได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพการวิจัยครั้งนี้ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้ทำการศึกษาภูมิคุ้มกันของผู้ที่ได้รับวัคซีน Sinovac จำนวน 2 เข็ม ทั้งภูมิคุ้มกันด้านแอนติบอดีและด้านเซลล์โดยจะเป็นครั้งแรกที่มีการรายงานภูมิคุ้มกันด้านเซลล์ของผู้ที่ได้รับวัคซีนนี้ เพื่อให้เป็นแนวทางในการป้องกันโรคต่อไป
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุปราณี พันธุ์ธนวิบูลย์ อาจารย์ประจำภาควิชาจุลชีววิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น หัวหน้าโครงการวิจัย กล่าวว่า ไวรัสเป็นอนุภาคขนาดเล็กที่ต้องเพิ่มจำนวนภายในเซลล์ภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ใช้ในการป้องกันกำจัดเชื้อไวรัสนั้นประกอบด้วย ภูมิคุ้มกันด้านแอนติบอดีและภูมิคุ้มกันด้านเซลล์ ในการทำงานแอนติบอดีที่จะช่วยยับยั้งไม่ให้ไวรัสเข้าสู่เซลล์และเมื่อใดก็ตามที่ไวรัสเข้าสู่เซลล์ได้ภูมิคุ้มกันด้านเซลล์จะรับหน้าที่หลักในการกำจัดเซลล์ที่ติดเชื้อเพื่อไม่ให้ไวรัสเพิ่มจำนวนและก่อโรคดังนั้นการป้องกันกำจัดเชื้อไวรัสที่มีประสิทธิภาพต้องอาศัยภูมิคุ้มกัน ทั้ง 2 ชนิด ผลวิจัยการตรวจภูมิคุ้มกันของผู้ที่ได้รับวัคซีน Sinovac เป็นการศึกษาแอนติบอดีและดีเซลของผู้ที่รับวัคซีน Sinovac ประกอบไปด้วย แพทย์ พยาบาล นักศึกษาแพทย์ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง จำนวน 335 คน โดยจะเก็บข้อมูลจากการเจาะเลือดทั้ง 3 ครั้ง ครั้งที่ 1 ก่อนฉีดวัคซีน ครั้งที่สองหลังจากฉีดวัคซีนเข็มแรก ครั้งที่ 3 หลังจากฉีดวัคซีนเข็มสอง 1 เดือน อาสาสมัครที่ได้รับวัคซีนสามารถสร้างแอนติบอดีที่จำเพาะต่อโปรตีนของเชื้อได้ร้อยละ 89 หลังจากรับวัคซีนเข็มแรกและหลังจากรับวัคซีนครบ 2 เข็มสามารถตรวจวัดระดับปริมาณของแอนติบอดีที่จำเพาะได้ครบทุกคน 100% ในปริมาณที่แตกต่างกันโดยมีค่ากลางอยู่ที่ 1292 AU/ml ส่วนผลการศึกษาพบว่ามีปริมาณที่ถูกกระตุ้นของ CD4 + T Cell ในอาสาสมัครหลังรับวัคซีนสูงขึ้นเล็กน้อยภายหลังฉีดในขณะที่ CD 8 + T Cell ไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับความฉีดวัคซีน
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุปราณี พันธ์ุธนวิบูลย์ กล่าวต่อไปว่า จากผลการศึกษาเบื้องต้น สรุปได้ว่าการรับวัคซีน Sinovacในอาสาสมัครกลุ่มที่ทำการทดลองสามารถกระตุ้นให้เกิดภูมิแอนติบอดีได้ดีแต่การกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของทีเซลล์ มีน้อยจึงแนะนำให้ผู้ที่รับ Sinovac ครบ 2 เข็มควรได้รับการกระตุ้น t-cell ด้วยวัคซีนชนิดอื่นที่ไม่ใช่รูปแบบเชื้อตาย เพื่อประสิทธิภาพการป้องกันโรคที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งหลังจากที่การเปลี่ยนแปลงรูปแบบวัคซีนของอาสาสมัครกลุ่มเดิมจะมีการศึกษาแอนติบอดีและภูมิเซลล์อีกครั้ง
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นพ.อธิบดี มีสิงห์ อาจารย์ประจำภาควิชาอายุรศาสตร์คณะแพทยศาสตร์ กล่าวว่า จากผลงานวิจัยจากทีมวิจัยของคณะแพทยศาสตร์ทำให้เราได้ทราบว่าการฉีดวัคซีน Sinovac 2 เข็มสามารถกระตุ้นให้สร้างภูมิชนิดแอนติบอดีที่จำเพาะได้โดยในเข็มแรกจะยังมีระดับแอนติบอดีต่ำและจะเพิ่มมากขึ้นหลังจากเข็มที่ 2 แต่กระตุ้นภูมิต้านเซลล์นั้นยังกระตุ้นได้ไม่ดีเท่าที่ควรเนื่องจากเป็นข้อจำกัดของเทคโนโลยี เชื้อตาย
ฉะนั้น ผู้ที่รับวัคซีน Sinovac 2 เข็ม จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้วัคซีน บูสต์เข็มที่ 3 โดยเฉพาะในภาวะที่มีการกลายพันธุ์ของเชื้อเช่นสายพันธุ์เดลต้าเพราะระดับแอนติบอดีที่สร้างขึ้นนั้นอาจไม่เพียงพอต่อการป้องกันสายพันธุ์ใหม่ได้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ให้มีการฉีดวัคซีนไขว้ คือเข็มแรกเป็นเชื้อตายหรือ Sinovac และเข็มที่ 2 เป็น Viral Vector Vaccinne หรือ AstraZeneca เนื่องจากมีการศึกษาในต่างประเทศพบว่า AZ สามารถกระตุ้น T cells ได้ดี เพื่อประสิทธิภาพในการกระตุ้น ภูมิได้ทั้ง 2 ด้านการฉีดวัคซีนเข็ม 3 ให้กับผู้ที่ได้รับ SV 2 เข็มจึงควรที่จะเป็นวัคซีนที่มีความสามารถในการกระตุ้นภูมิต้านเซลล์ได้ดีได้แก่วัคซีนชนิดไวรัสเวคเตอร์ AZ หรือชนิด mRNA ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นพ.อธิบดี กล่าวปิดท้าย